TÓM TẮT
- 1 โลหิตจางในเด็ก│Bangpakok 9 International Hospital
- 2 องค์ประกอบของโรคโลหิตจาง
- 3 สาเหตุของโรคโลหิตจาง
- 4 อาการและอาการแสดงของโรคโลหิตจาง
- 5 การวินิจฉัยโรคโลหิตจาง
- 6 การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจาง
- 7 การป้องกันโรคโลหิตจาง
- 8 ผลกระทบและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง
- 9 โรคโลหิตจางมีชื่อเรียกว่าโรคอะไร
- 10 โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย ต่างกันยังไง
- 11 สารบัญ
โลหิตจางในเด็ก│Bangpakok 9 International Hospital
Keywords searched by users: โรคโลหิตจางในภาษาอังกฤษ: Understanding Anemia โรคโลหิตจาง อันตรายไหม, ธาลัสซีเมีย ภาษาอังกฤษ, โรคโลหิตจาง ควรกินอะไร, Anemia คือ, โรคเลือดจาง รักษาหายไหม, โลหิตจาง อาการ, โรคโลหิตจาง สาเหตุ, Anemia symptoms
องค์ประกอบของโรคโลหิตจาง
ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่เกิดจากปริมาณเม็ดเลือดแดงในร่างกายลดลงจากปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุต่างๆ องค์ประกอบของโรคโลหิตจางประกอบด้วยสาเหตุหลัก 3 ประการ ดังนี้:
- การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง:
- ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก, วิตามินบี12, กรดโฟลิค [1].
- โรคไตวายเรื้อรังทำให้ขาดปัจจัยในการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง [1].
- โรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ, มะเร็งในไขกระดูก, การติดเชื้อในไขกระดูก [1].
- โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง, โรคข้ออักเสบ, โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน [1].
- การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในร่างกาย:
- โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่พบบ่อย ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการได้หลากหลาย อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือมีโลหิตจางรวดเร็วเมื่อเวลามีไข้ บางรายอาจมีภาวะโลหิตจางร่วมกับเหลือง ตับม้ามโต [1].
- โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากการขาดเอนไซม์ G-6PD เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มักพบในเพศชาย ในภาวะปกติผู้ป่วยมักไม่มีอาการ หากมีการติดเชื้อหรือได้รับยาบางชนิดจะเกิดการกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายขึ้นจนเกิดอาการโลหิตจางรวดเร็ว ดีซ่าน ปัสสาวะสีน้ำปลา [1].
- โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากภูมิคุ้มกันของตนเองทำลายเม็ดเลือดแดง เป็นโรคที่พบมากในเพศภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่เกิดจากการมีจำนวนเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุต่างๆ องค์ประกอบของโรคโลหิตจางประกอบด้วยสาเหตุหลัก 3 ประการ ดังนี้:
-
การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง:
- ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และกรดโฟลิค [1].
- โรคไตวายเรื้อรังทำให้ขาดปัจจัยในการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง [1].
- โรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก การติดเชื้อในไขกระดูก เป็นต้น [1].
- โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น [1].
-
การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในร่างกาย:
- โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่พบบ่อย ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการได้หลากหลาย อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือมีโลหิตจางรวดเร็วเมื่อเวลามีไข้ บางรายอาจมีภาวะโลหิตจางร่วมกับเหลือง ตับม้ามโต [1].
- โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากการขาดเอนไซม์ G-6PD เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มักพบในเพศชาย ในภาวะปกติผู้ป่วยมักไม่มีอาการ หากมีการติดเชื้อหรือได้รับยาบางชนิดจะเกิดการกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายขึ้นจนเกิดอาการโลหิตจางรวดเร็ว ดีซ่าน ปัสสาวะสีน้ำปลา [1].
- โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากภูมิคุ้มกันของตนเองทำลายเม็ดเลือดแดง
Learn more:
สาเหตุของโรคโลหิตจาง
ภาวะโลหิตจางหรือโลหิตจาง (Anemia) เป็นภาวะที่เกิดจากมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตออกซิเจนให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุต่างๆ [1].
สาเหตุของโรคโลหิตจางสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทได้ดังนี้:
-
การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง:
- การขาดสารอาหาร: การรับประทานสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เช่น การขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี12 หรือกรดโฟลิค [1].
- ภาวะโรคเรื้อรัง: บางโรคเรื้อรังหรือการรักษาโรคเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคไตวายเรื้อรัง โรค HIV หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน [1].
- การตั้งครรภ์: ภาวะโลหิตจางสามารถเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงอายุครรภ์ 6 เดือนแรก เนื่องจากการขาดสารอาหารประเภทธาตุเหล็กและกรดโฟลิก รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในเลือด [1].
- โรคเกี่ยวกับไขกระดูก: บางโรคเกี่ยวกับไขกระดูกอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เช่น ไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก หรือการติดในไขกระดูก [1].
-
การทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติในร่างกาย:
- โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemias): เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่พบบ่อยและส่งผลให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ [1].
- รูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่เกิดจากมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุต่างๆ [1]. โรคโลหิตจางมีอาการและสาเหตุที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
สาเหตุของโรคโลหิตจาง:
-
การสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง:
- การขาดสารอาหาร: การรับประทานสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เช่น การขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี12 หรือกรดโฟลิค [1].
- ภาวะโรคเรื้อรัง: บางโรคเรื้อรังหรือการรักษาโรคเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคไตวายเรื้อรัง โรค HIV หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน [1].
- การตั้งครรภ์: ภาวะโลหิตจางสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงอายุครรภ์ 6 เดือนแรก เนื่องจากการขาดสารอาหารประเภทธาตุเหล็กและกรดโฟลิก รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในเลือด [1].
- โรคเกี่ยวกับไขกระดูก: บางโรคเกี่ยวกับไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก หรือการติดในไขกระดูก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง [1].
-
การทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติในร่างกาย:
- โรคธาลัสซีเมีย: เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่พบบ่อย ทำให้เกิดการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ [1].
- รูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ: เช่น โรค Sickle Cell Anemia ทำให้เกิดการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว
Learn more:
อาการและอาการแสดงของโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางเป็นภาวะที่เกิดจากปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ในร่างกาย [1].
อาการและอาการแสดงของโรคโลหิตจางอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับระดับเม็ดเลือดแดงในร่างกายและความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะโลหิตจางของแต่ละคน [2]. อาการที่อาจพบได้ในภาวะโลหิตจางได้แก่:
-
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจรู้สึกเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมที่เบา ๆ หรือหนัก ๆ [2].
-
ภาวะซีดเหลือง: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีผิวหนังและเยื่อบุคลากรภายในเหลืองเนื่องจากจำนวนเม็ดเลือดแดงที่น้อยลง [2].
-
หายใจลำบากขณะออกแรง: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีอาการหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยขณะทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงานมาก [2].
-
มึนงง วิงเวียนศีรษะ: อาการมึนงงหรือวิงเวียนศีรษะอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดออกซิเจนในสมอง [2].
-
เจ็บหน้าอก ใจสั่น: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีอาการเจ็บหน้าอกหรือใจสั่นเนื่องจากการขาดออกซิเจนในกล้ามเนื้อหัวใจ [2].
-
อาการรุนแรง: ในบางกรณีที่โรคโลหิตจางรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการมุมปากเปื่อย ลักษณะเล็บอ่อนแอและแบน หรือเล็บเงยขึ้นมีแอ่งตรงกลางคล้ายช้อน [2].
หากคุณมีอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่าเป็นโรคโลหิตจาโรคโลหิตจางเป็นภาวะที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายมีอาการผิดปกติและอาการแสดงต่าง ๆ อาการของโรคโลหิตจางอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับเม็ดเลือดแดงในร่างกายและความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะโลหิตจางของแต่ละบุคคล [1].
นี่คืออาการและอาการแสดงที่อาจพบได้ในภาวะโลหิตจาง:
-
เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจรู้สึกเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียมากขึ้น อาจไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้เหมือนเดิม [2].
-
ภาวะซีดเหลือง: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีผิวหนังและเยื่อบุคลากรึงเหลือง อาจมีลักษณะเหลืองบริเวณตา ซึ่งเกิดจากจำนวนเม็ดเลือดแดงที่น้อยกว่าปกติ [2].
-
หายใจลำบากขณะออกแรง: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีอาการหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยขณะทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก [2].
-
มึนงงและวิงเวียนศีรษะ: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีอาการมึนงงหรือวิงเวียนศีรษะ อาจเกิดจากการขาดออกซิเจนในสมอง [2].
-
เจ็บหน้าอกและใจสั่น: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางอาจมีอาการเจ็บหน้าอกและใจสั่น อาจเกิดจากการขาดออกซิเจนในกล้ามเนื้อหัวใจ [2].
-
อาการรุนแรง: ในบางกรณีที่โรคโลหิตจางรุนแรงมาก อาจทำให้หัวใจล้มเหลว และเกิดอาการมุมปากเปื่อย ลักษณะเล็บอ่อนแอและแบน หรือเล็บเงยขึ้นมีแอ่งตรงกลางคล้าย
Learn more:
การวินิจฉัยโรคโลหิตจาง
การวินิจฉัยโรคโลหิตจางเป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อตรวจสอบปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อระบุว่าผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางหรือไม่ การวินิจฉัยโรคโลหิตจางสามารถทำได้โดยใช้หลายวิธี ซึ่งจะแบ่งออกเป็นวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการและวิธีการตรวจทางคลินิก ดังนี้:
วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- การตรวจวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด: วิธีนี้ใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด เช่น เครื่องวัดฮีโมโกลบินอัตโนมัติ (automated hematology analyzer) [1].
- การตรวจสอบค่าตัวชี้วัดอื่นๆ: นอกจากการวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดแล้ว ยังสามารถตรวจสอบค่าตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคโลหิตจาง เช่น การตรวจวัดปริมาณเซลล์เลือดแดง (red blood cell count) และค่าตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น ปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยต่อเซลล์เลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin) และปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยต่อเซลล์เลือดแดง (mean corpuscular volume) [1].
วิธีการตรวจทางคลินิก:
- การสำรวจอาการและประวัติผู้ป่วย: แพทย์จะสำรวจอาการที่ผู้ป่วยเป็น รวมถึงประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการรักษา และประวัติสุขภาพทั่วไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคโลหิตจาง [2].
- การตรวจร่างกาย: แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายเพื่อหาอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคโลหิตจาง เช่น การตรวจสีผิว การตรวจระบบทางเดินอาหาร และการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ [2].
- การการวินิจฉัยโรคโลหิตจางเป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อตรวจสอบปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อระบุว่าผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางหรือไม่ การวินิจฉัยโรคโลหิตจางสามารถทำได้โดยใช้หลายวิธี ซึ่งจะแบ่งออกเป็นวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการและวิธีการตรวจทางคลินิก ดังนี้:
วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- การตรวจวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด: วิธีนี้ใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด เช่น เครื่องวัดฮีโมโกลบินอัตโนมัติ (automated hematology analyzer) [1].
- การตรวจสอบค่าตัวชี้วัดอื่นๆ: นอกจากการวัดปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดแล้ว ยังสามารถตรวจสอบค่าตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคโลหิตจาง เช่น การตรวจวัดปริมาณเซลล์เลือดแดง (red blood cell count) และค่าตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น ปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยต่อเซลล์เลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin) [1].
วิธีการตรวจทางคลินิก:
- การสำรวจอาการและประวัติผู้ป่วย: แพทย์จะสำรวจอาการที่ผู้ป่วยรายงาน เช่น อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะโลหิตจาง [2].
- การตรวจร่างกาย: แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายเพื่อหาอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจาง เช่น การตรวจสีผิว การตรวจระดับความดันโลหิต และการตรวจระดับฮีโมโกลบินในเลือด [2].
- การตรวจทางภาพ: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งให้ผู้ป่วยทำการตรวจทางภาพ เพื่อตรวจสอบสภาพของเนื
Learn more:
การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจาง
การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจาง (Anemia) เป็นภาวะที่เกิดจากจำนวนเม็ดเลือดแดงในร่างกายลดลงหรือคุณภาพของเม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอต่อการทำงานของร่างกาย [1]. การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจางจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค ดังนั้นการรักษาและการจัดการโรคโลหิตจางอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล [2].
นี่คือบางวิธีการรักษาและการจัดการโรคโลหิตจางที่สามารถนำมาใช้ได้:
-
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม:
- การบริโภคอาหารที่มีปริมาณเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ เม็ดเลือดแดง และผักใบเขียวเข้มข้น เช่น ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกาดแก้ว [2].
- การบริโภคอาหารที่มีปริมาณวิตามินบี12สูง เช่น ปลา ไข่ และผลไม้ [2].
- การบริโภคอาหารที่มีปริมาณกรดโฟลิคสูง เช่น ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เช่น ส้ม มะเขือเทศ และเมล็ดทานตะวัน [2].
-
การรับประทานเสริมอาหาร:
- หากการบริโภคอาหารไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาในการดูแลสุขภาพ อาจต้องรับประทานเสริมอาหารที่มีเหล็ก วิตามินบี12 และกรดโฟลิค เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง [2].
-
การรักษาโรคพื้นฐาน:
- หากโรคโลหิตจางเกิดจากโรคอื่น เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคธาลัสซีเมีย หรือโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย การรักษาโรคพื้นฐานจะช่วยลดอาการโลหิตจาง [2].
-
การรับประทานยาเสริมเหล็ก:
- ในบางกรณีที่ปริมาณเหล็กในร่างกายไมการรักษาและการจัดการโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางหรือภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่เกิดจากจำนวนเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุต่างๆ เช่น ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และกรดโฟลิค โรคไตวายเรื้อรัง โรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก การติดเชื้อในไขกระดูก และโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน [2].
การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจางมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของโรค ดังนี้:
-
การรักษาโดยการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดง:
- การบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ เม็ดเลือดแดง และผักใบเขียวเข้มข้น เพื่อเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงในร่างกาย [1].
- การรับประทานเสริมวิตามินบี12 เพราะวิตามินบี12เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง [2].
- การรับประทานเสริมกรดโฟลิค เพราะกรดโฟลิคเป็นสารที่ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง [2].
-
การรักษาโดยการแก้ไขสาเหตุหลัก:
- หากโรคโลหิตจางเกิดจากขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี12 หรือกรดโฟลิค ควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้เพิ่มขึ้น [2].
- หากโรคโลหิตจางเกิดจากโรคไตวายเรื้อรัง ควรรักษาโรคไตวายเรื้อรังให้ดีเพื่อลด
Learn more:
การป้องกันโรคโลหิตจาง
การป้องกันโรคโลหิตจางเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ เนื่องจากโรคโลหิตจาง (Anemia) เกิดจากปริมาณเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยกว่าปกติ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และมีผลต่อสุขภาพทั่วไปของเราได้ ดังนั้นการป้องกันโรคโลหิตจางเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้คือวิธีการป้องกันโรคโลหิตจาง:
-
รับประทานอาหารที่เหมาะสมและสมดุลย์: การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่สำคัญ เช่น เหล็ก วิตามินบี12 และกรดโฟลิค จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย [2]. อาหารที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันโรคโลหิตจางได้แก่:
- อาหารที่มีเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว หมู ไก่ และเนื้อปลา เพราะเป็นแหล่งที่มีเหล็กสูง
- อาหารที่มีผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ผักคะน้า และผักบุ้ง เพราะเป็นแหล่งที่มีกรดโฟลิคสูง
- อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ถั่ว เม็ดเลือด และเม็ดเลือดแดง
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุเหล็ก: บางอาหารอาจมีสารที่ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารเหล่านี้ เช่น กาแฟ ชา นม และอาหารที่มีใยอาหารสูง [1].
-
รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง: วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้เปรี้ยว เช่น ส้ม มะละกการป้องกันโรคโลหิตจางเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ เนื่องจากโรคโลหิตจาง (Anemia) เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น เหล็ก วิตามินบี12 และกรดโฟลิค การเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือการเกิดอาการเลือดออก และการทำลายเม็ดเลือดแดงในร่างกาย [2].
เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง นี่คือบางวิธีที่สามารถทำได้:
-
รับประทานอาหารที่เหลือเชื่อมโลหิต: การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์สำหรับการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดง เช่น อาหารที่มีเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว หมู ไก่ และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว และเมล็ดธัญพืช [2].
-
รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี12: วิตามินบี12 เป็นสารอาหารที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี12 ได้จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม โยเกิร์ต และเนื้อสัตว์อื่น ๆ [2].
-
รับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิค: กรดโฟลิคเป็นสารอาหารที่ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิค เช่น ผลไม้ ผัก และอาหารที่มีเกรดเมล็ดธัญพืชสูง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ [2].
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง: บางอาหารอาจมีส่วนผสมที่ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุเหล็ก อย่างเช่น ชา กาแฟ และอาหารที่มีใยอาหารสูง ควรลดการบริโภคอ
Learn more:
ผลกระทบและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง
ผลกระทบและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางหรือภาวะเลือดจางเป็นภาวะที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณลดน้อยลงกว่าปกติ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายด้าน ดังนี้:
-
ผลกระทบต่อร่างกาย:
- อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย: เม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอสามารถส่งออกซิเจนไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย [1].
- ปวดหัว: ภาวะเลือดจางอาจทำให้เกิดปวดหัวได้ [1].
- ใจสั่น: การขาดเลือดจางอาจทำให้เกิดอาการใจสั่นได้ [1].
- ผิวหนังซีดลงหรือเหลืองขึ้น: เม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอสามารถส่งเลือดไปยังผิวหนังได้เต็มที่ ทำให้ผิวหนังดูซีดลงหรือเหลืองขึ้น [1].
-
ผลกระทบต่อสุขภาพทางจิต:
คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง:
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพ:
- รับประทานอาหารที่เหลือเชื่อม: ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ เม็ดเจีย และผักใบเขียวอื่นๆ [2].
- รับประทานอาหารที่มีวิตามิน C: วิตามิน C ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย ดังนั้นควรรับประทานผลไม้ที่มีวิตามิน C สูผลกระทบและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางเป็นภาวะที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณลดลงกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับประจำเป็นออกซิเจนเพียงพอ ทำให้เกิดอาการผิดปกติและส่งผลต่อสุขภาพได้ โรคโลหิตจางสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ขาดธาตุเหล็กในร่างกาย การทำงานของไขกระดูกที่ผลิตเม็ดเลือดแดงลดลง หรือเม็ดเลือดแดงที่มีความเปราะบางและแตกง่าย [1].
ผลกระทบของโรคโลหิตจาง:
- อาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย: เนื่องจากเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอที่จะนำออกซิเจนไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียตลอดเวลา.
- ผิวหนังซีดหรือเหลืองขึ้น: เม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอทำให้เลือดมีความเข้มข้นน้อยลง ทำให้ผิวหนังดูซีดหรือเหลืองขึ้น.
- ปวดหัวและใจสั่น: เนื่องจากเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอที่จะส่งออกซิเจนไปยังสมองและหัวใจ ทำให้เกิดอาการปวดหัวและใจสั่น.
- อาการอื่นๆ: อาจมีอาการเจ็บคอ ใจสั่นเต้นผิดปกติ หายใจเร็ว มึนงง หรือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก [1].
คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง:
- ปรับเปลี่ยนเอาการรับประทานอาหาร: ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ เต้าหู้ ถั่ว เม็ดมะม่วง และผักใบเขียวเข้ม.
- รับประทานอาหารที่มีวิตามิน C: วิตามิน C ช่วยในการดูดธาตุเหล็กให้ดีขึ้น
Learn more:
Categories: อัปเดต 36 โรคโลหิตจาง ภาษาอังกฤษ
โลหิตจาง (Anemia) หรือซีด หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า เลือดน้อย คือ การที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทางการแพทย์จะหมายถึงการที่ระดับค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม / เดซิลิตรในผู้ชายหรือ 12 กรัม / เดซิลิตรในผู้หญิง ถ้าคิดเป็นค่าฮีมาโตคริตคือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 และ 36 เปอร์เซ็นต์ในผู้ชายและผู้หญิงตาม …เลือดจาง (Anemia) คือภาวะที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณลดน้อยลง เม็ดเลือดแดงของคนเราโดยปกติจะมีหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดจาง จะมาด้วยอาการปวดหัว ใจสั่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีผิวหนังซีดลง หรือเหลืองขึ้นคำตอบ: ธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับโรคนี้ไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินปกติ (โรคโลหิตจาง) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แข็งแรง ทำให้ผลิตเม็ดเลือดแดงได้น้อย มีเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นและแตกง่าย คำถาม: หากเป็นธาลัสซีเมียควรพบแพทย์ด้านใด?
See more: https://vatlieuxaydung.org/category/tv blog
โรคโลหิตจางมีชื่อเรียกว่าโรคอะไร
ภาวะโลหิตจางมีชื่อเรียกว่าอะไร?
เมื่อคุณพบคำว่า โรคโลหิตจาง คุณอาจสงสัยว่าภาวะนี้คืออะไรและมีสาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง ดังนั้นเราจะมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะโลหิตจางให้คุณเข้าใจมากขึ้น:
ภาวะโลหิตจางคืออะไร?
- ภาวะโลหิตจางหรือเลือดจาง (Anemia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเม็ดเลือดแดงในร่างกายมีปริมาณลดลง [1].
- เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย [1].
- ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางอาจมีอาการปวดหัว ใจสั่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีผิวหนังซีดลง หรือเหลืองขึ้น [1].
สาเหตุของภาวะโลหิตจาง:
ภาวะโลหิตจางสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ [2]:
- การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง:
- ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก, วิตามินบี 12, กรดโฟลิค [2].
- โรคไตวายเรื้อรังที่ทำให้ขาดปัจจัยในการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง [2].
- โรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก การติดเชื้อในไขกระดูก เป็นต้น [2].
- โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น [2].
- การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในร่างกาย:
- โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่พบบ่อย ผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการได้หลากหลาย อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือมีโลหภาวะโลหิตจางมีชื่อเรียกว่าอะไร?
ภาวะโลหิตจางหรือเลือดจาง (Anemia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเม็ดเลือดแดงในร่างกายมีปริมาณลดลงจากปกติ [1]. เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย [1]. ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางอาจมีอาการต่างๆ เช่น ปวดหัว, ใจสั่น, เหนื่อยง่าย, อ่อนเพลีย, ผิวหนังซีดลง, หรือเหลืองขึ้น [1].
สาเหตุของภาวะโลหิตจางสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ [2]:
- การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง: สาเหตุที่เกี่ยวข้องอาจเป็นเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก, วิตามินบี 12, กรดโฟลิค หรือเกิดจากโรคไตวายเรื้อรัง, โรคของไขกระดูก, โรคเรื้อรังบางชนิด เป็นต้น [2].
- การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในร่างกาย: สาเหตุที่เกี่ยวข้องอาจเป็นเพราะโรคธาลัสซีเมีย, โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากการขาดเอนไซม์ G-6PD หรือโรคอื่นๆ [2].
- การสูญเสียเม็ดเลือดแดง: สาเหตุที่เกี่ยวข้องอาจเป็นเพราะการเลือดออกมากเกินไป เช่น การเลือดออกจากบาดแผลหรือการเลือดออกจากเม็ดเลือดแดงผ่านทางเส้นเลือดที่มีปัญหา [2].
ภาวะโลหิตจางเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป [2]. การวินิจฉัยและการรักษาภาวะโลหิตจางจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะโลหิตจางนั้นๆ [2]. หากคุณมีอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่าคุณอาจมีภ
Learn more:
โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย ต่างกันยังไง
โรคธาลัสซีเมียคืออะไร?
ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคนี้เกิดจากความบกพร่องในการสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับโรคธาลัสซีเมียจะไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินปกติได้ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เม็ดเลือดแดงที่เกิดขึ้นจะมีอายุสั้นและแตกง่าย ซึ่งส่งผลให้มีจำนวนเม็ดเลือดแดงที่สามารถทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายน้อยลง [1].
ธาลัสซีเมียมี 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
-
อัลฟาธาลัสซีเมีย (Alpha-thalassemia): โรคนี้เกิดจากความบกพร่องในยีนสายอัลฟาโกลบิน โดยระดับความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับจำนวนยีนสายโกลบินที่ขาดหายไป อัลฟาธาลัสซีเมียเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของทารกในครรภ์มารดาหรือหลังคลอด โดยทารกที่รอดชีวิตจะต้องได้รับการรักษาเลือดตลอดชีวิต [1].
-
เบต้าธาลัสซีเมีย (Beta-thalassemia): โรคนี้เกิดจากความบกพร่องในยีนสายเบต้าโกลบิน โดยมีระดับความรุนแรงของอาการแตกต่างกันตามความบกพร่องของสายโกลบินที่ได้รับจากพ่อและแม่ อาการของเบต้าธาลัสซีเมียอาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการเล็กน้อยถึงอาการรุนแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเลือดเป็นระยะ [1].
หากคุณเสี่ยงต่อการเป็นธาลัสซีเมียหรือมีอาการที่สงสัย ควรพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านโรคธาลัสซีเมีย เพื่อทำการตรวจวโรคธาลัสซีเมียคืออะไร?
ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคนี้เกิดจากความบกพร่องในการสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับโรคนี้จะไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินปกติได้ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง โดยมีเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นและแตกง่าย [1].
ธาลัสซีเมียมีสองชนิดหลัก คือ:
- อัลฟาธาลัสซีเมีย (Alpha-thalassemia): เกิดจากความบกพร่องในสายโกลบินอัลฟา โดยมีระดับความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไปตามจำนวนยีนที่ขาดหายไป [1].
- เบต้าธาลัสซีเมีย (Beta-thalassemia): เกิดจากความบกพร่องในสายโกลบินเบต้า โดยมีระดับความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไปตามความบกพร่องของสายโกลบิน [1].
ผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียควรพบแพทย์ด้านต่อไปนี้:
- แพทย์ทางโรคต่อมไทรอยด์ (Endocrinologist): เพื่อตรวจสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่อาจเกี่ยวข้องกับธาลัสซีเมีย [1].
- แพทย์ทางโรคต่อมไทรอยด์เด็ก (Pediatric Endocrinologist): สำหรับเด็กที่เป็นธาลัสซีเมีย [1].
- แพทย์ทางโรคต่อมไทรอยด์สูงอายุ (Geriatric Endocrinologist): สำหรับผู้สูงอายุที่เป็นธาลัสซีเมีย [1].
- แพทย์ทางโรคต่อมไทรอยด์สูงความเชื่อถือได้ (Reputable Endocrinologist): เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง [1].
Learn more:
See more here: vatlieuxaydung.org
สารบัญ
สาเหตุของโรคโลหิตจาง
อาการและอาการแสดงของโรคโลหิตจาง
การวินิจฉัยโรคโลหิตจาง
การรักษาและการจัดการโรคโลหิตจาง
การป้องกันโรคโลหิตจาง
ผลกระทบและคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโลหิตจาง